006 ธรรมปัจเวกขณ์ ได้กำชับกำชาให้รู้ว่า มนุษย์เราเกิดมาทำไม เราเกิดมา มีคุณค่าด้วยอะไร หรือคุณค่า ของมนุษย์ ที่ชื่อว่า เป็นสัตว์ประเสริฐ กว่าสัตว์ใดๆ ในโลก คุณค่าไม่ได้อยู่ที่อื่น คุณค่าอยู่ที่ สมรรถภาพ การงาน ความสามารถ ที่เป็น ความสามารถเกื้อหนุน สรรพสัตว์ เกื้อหนุนธรรมชาติ สามารถช่วย ต้นหมากรากไม้ ให้มันมีอายุ ยืนยาวได้ มันไม่เจริญ ช่วยให้มันเจริญได้ ช่วยให้สัตว์ อยู่ในโลก ได้อย่างดี สัตว์ไหน เป็นสัตว์ร้าย เป็นสัตว์ที่ เห็นสมควรจะตาย ตามฐานะของมัน มันก็ตายไป ตามธรรมชาติ ส่วนสัตว์ใด ที่พึงจะมีอายุ ต่อไปยืนยาว เราก็ช่วยมัน พอเป็นพอไป เอ็นดูกัน ยิ่งสัตว์คน ต้องพยายาม เลี้ยงดูกัน พยายามอุ้มชู ให้มีชีวิต บำรุงชีวิตให้ยืนยาว ดังที่เป็นความรู้ ก็รู้อยู่ มีการรักษา มียารักษา มีวิธีการ ที่จะต่อชีวิต แม้จะเป็นโรค ตามธรรมชาติ แก่ตามธรรมชาติ ก็ยังชลอ ความตาย ไปให้แก่ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้แต่สัตว์ด้วยกัน ต้นไม้ ถ้าเผื่อว่า เราปล่อย ตามธรรมชาติ อย่างนั้น มันจะตาย และอายุ สั้นกว่านั้น แต่เราก็ช่วย ต้นไม้ ให้อายุยืนกว่านั้นได้ ดังนี้เป็นต้น สมรรถภาพของคน อย่างนี้แหละ เป็นคุณค่า ของโลก เป็นผู้อุ้มชูโลก ไม่ได้หมายความว่า คนเราจะมา ผลาญพร่าโลก ทำลายภูเขา ทำลายแม่น้ำ ทำลายดิน ทำลายต้นไม้ ทำลายสรรพสัตว์ ที่สุด ทำลายคนด้วยกัน ในโลก นั่นเป็นความเลวร้าย ของมนุษย์ ไม่ใช่คุณค่า ของมนุษย์ ก็ดังที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อเราเอง เราทราบ เราเกิดมา ก็กิน ก็นอน ก็ขี้ ก็เยี่ยว สืบพันธุ์ แม้เราจะสืบพันธุ์ ลักษณะ ของศาสนา ก็ได้สอนแล้วว่า มันมีตามขั้นตอน ของกิเลส ผู้มีกิเลส ยังติดยังยึด ยังห้ามกั้น อารมณ์กิเลสไม่ได้ จะสืบพันธุ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่ห้ามกั้นได้ แล้วก็มีปัญญา รู้จักเศรษฐศาสตร์ รู้จักความจำเป็น ความต้องการ ของสังคมของมนุษย์ ถ้าคนยังน้อยไป ยังสู้สรรพสัตว์ ที่มันทำลาย สัตว์ธรรมชาติ ที่จริงสัตว์ ทำลายธรรมชาติน้อย คนที่ทำลาย ธรรมชาติมาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีคนขึ้นมา ไม่ทำลายธรรมชาติ หรือ มันยังมีคน ที่จะมาสร้างสรร ยังไม่พอ เราจะเพิ่ม พลเมือง ถ้าเรากำหนด กิเลสว่า ไม่มีราคะกันได้ เราก็สามารถ ที่จะกำหนด พลโลกได้ แต่ถ้าเรา ไม่ละล้างกิเลส ไม่รู้จักวิธี การลดกิเลส เรากำหนด พลโลกไม่ได้ เกิดสมดุล คนเกิด คนตาย หรือพลโลก จะทรงไป ในฐานะที่สมดุล ต้องการตามต้องการ เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาเรียนรู้ เป็นมนุษย์ เราสามารถ ที่จะกำหนด โดยเฉพาะ ในแวดวงสังคม แต่ละสังคม สังคมหมู่หนึ่ง ถ้าสามารถกำหนด แม้แต่ราคะได้ สังคมหมู่นั้น ก็จะไม่เดือดร้อน ด้วยการพัฒนา ทั้งวัตถุสมบัติ ธรรมชาติ ทั้งพลโลก หรือ พลสังคมนั้น แต่ถ้าเผื่อว่า เราไม่สามารถ กำหนดได้ เราก็จะเกิด การไม่สมดุลขึ้น ไม่ว่าทั้งวัตถุ ทั้งธรรมชาติ และทั้งคน ถ้าเมื่อเรา กำหนดได้แล้ว ลองดูก็ได้ว่า ในสังคมๆหนึ่ง ทำได้แล้ว สังคมนั้น จะอยู่เย็น เป็นสุข และ อุดมสมบูรณ์ พลโลกก็ตาม เกิดอย่าง หมุนเวียน อย่างพอเหมาะ พอดี เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราทำได้ดังนี้ ขยายสังคม นั้นขึ้น เป็นประเทศ จากประเทศ เป็นกลุ่มประเทศ ทั่วโลก ลักษณะนี้ ก็จะกลายเป็น สมดุลทั่วโลก เพราะแม้แต่ การเกิด การตาย แม้แต่คน เกิดมา ก็ไม่ผลาญ มีแต่สร้างสรร ธรรมชาติ ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่ร่อยหรอ แล้วก็อยู่อย่าง ที่มีปัญญา มีศิลปะ หัตถกรรม อยู่อย่างสุขเย็น เกื้อกูลกัน ทั่วโลก พึ่งพา อาศัยกันได้ แม้แต่ในแดนกันดาร ประเทศมันไม่อุดม ไปทั้งหมด โลกมันไม่อุดม ไปทั้งหมด ประเทศก็มี ถิ่นที่กันดาร ถิ่นที่อุดม ต่างกัน โลกก็มี ส่วนประเทศ ที่ไม่ค่อยจะอุดม แห้งแล้ง ขาดแคลนบางอย่าง แต่เขาก็อาจ จะมีบางอย่าง เช่น ประเทศทะเลทราย เขาขาดแคลน พืชผักผลไม้อะไร แต่เขาอุดม น้ำมัน ก็มาแบ่งกัน เราจะมีน้ำมัน มาแบ่ง มาแลกกัน กับอาหาร มาแลกกันกับ สิ่งจำเป็นอื่น ก็หมุนเวียนกันไป คละเคล้า สิ่งที่ขาดสิ่งหนึ่ง ก็มีอีกสิ่งหนึ่ง ทุกอย่าง ก็จะหมุนเวียน สะพัด เกื้อกูล การเกื้อกูลกันทั่วโลก ก็จะเป็น การสุขเย็น ไปได้ทั่วโลก นี่เป็นคำพูด ส่วนความจริงนั้น จะไปได้ ถึงแค่ใด เราก็ทำ ตั้งแต่ สังคมเล็กๆ พิสูจน์ไป ขยายไป ถ้าวิธีการ หรือ ความจริงอันนี้ มันสำเร็จ ความจริงอันนี้ ก็จะขยายไป ขยายไป สู่ปัญญาชน สู่ผู้รู้ สู่ผู้ที่ จะเห็นความจริง เห็นความดีอันนี้ ทฤษฎี หรือแบบอย่าง หรือวิธีการอันนี้ ก็จะขยายๆ ไปกว้าง เมื่อมันเป็นได้จริง แม้แต่สังคม ที่เราได้พิสูจน์ ส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนจริงอันนี้ มันก็จะขยายไป ทั่วโลก นี่เป็นเรื่องของ ความประเสริฐ ของมนุษย์ ความดีของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ความสุขเย็น ดังกล่าวแล้ว จึงไม่ได้ เป็นไป เพื่อความโลภ เพื่อความเสพย์ เห็นแก่ตัว ไม่ทำงาน ถ้าเผื่อว่า เรามีการพิสูจน์ ในสังคมๆ หนึ่ง ได้ทำงานกันทั่วถึง งานทุกอย่าง ก็จะเบา ไม่มีใคร กินแรงกัน ไม่มีใคร เอาเปรียบ เอารัดกัน งานจะเบา ความอุดมสมบูรณ์ จะเกิดขึ้น อยู่อย่าง มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าเรา กินแรงกัน เอาเปรียบ เอารัดกัน หรือ ยิ่งโง่กว่านั้น ผลาญเสียด้วย
|